ถ้าหากพูดถึงศึกแดงเดือดแฟนบอลพรีเมียร์ลีกที่ติดตามมาอย่างยาวนานคงไม่มีใครที่ไม่เข้าใจถึงความหมายของชื่อนี้ ว่าทีมไหนที่ปะทะกันแล้วถึงเรียกว่าศึกแดงเดือด ที่ทำให้ความร้อนระอุเกิดขึ้นบนทุกภาคส่วนของสนามฟุตบอล
ซึ่งจะเป็นทีมไหนไปไม่ได้ระหว่าง ปีศาจแดงแมนยู ปะทะ หงส์แดงลิเวอร์พูล ความจริงแล้วต้นกำเนิดความเดือดของสองทีมไม่ใช่อย่างที่ใครหลายคนทึกทักกันไปเองว่าสองทีมเกลียดกันเพราะมีเรื่องบาดหมางระหว่างทีม แต่ความเป็นไปได้ที่แท้จริงแล้ว ในสมัย 1870 เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอด แต่เมืองแมนเชสตอร์คิดว่า ลิเวอร์พูลที่เป็นเมืองท่าเก็บเงินค่าผ่านทางต่างๆ แพงเกินไปจนกระทบคนเมืองตัวเอง นี่อาจจะเป็นรอยร้าวแห่งความเดือดแรกจากอดีตก็ได้ ต่อมาแมนเชสตอร์จึงขุดคลองและสร้างท่าเรือเป็นของตนเอง เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากที่แมนเชสเตอร์มีท่าเรือเป็นของตัวเอง มันกลับส่งผลให้เมืองลิเวอร์พูล ขาดทุนมหาศาล คนตกงาน และนี่เองก็อาจจะเป็นเหตุผลเริ่มต้นแห่งความบาดหมางของคนทั้งสองเมืองนี้ก็ได้
ในเวลาต่อมาทั้งสองเมืองเองก็เริ่มตั้งทีมฟุตบอลเป็นของตน โดยทั้งทีมของทั้งสองเมืองก็ยังคงมีอิทธิพลและเป็นทีมใหญ่ในลีก สมกับเมืองตัวเอง ในช่วงแรกลิเวอร์พูลเป็นผู้ครองแชมป์ในปี 1963 – 1964 และต่อมาแชมป์ลีกก็ถูกผลัดเปลี่ยนมาสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งสองทีมขับเคี่ยวกันมาตลอดเวลาการแข่งขัน แต่ถ้าหากเทียบกันจริงๆ แล้วในอดีตทีมอย่างลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จมากกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างชัดเจน จนกระทั่งผู้จัดการทีมเปลี่ยนมาถึงยุคของ เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ที่พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีก ถึง 20 สมัย แต่ลิเวอร์พูลก็กลับมาคว้าแชมป์ยูฟ่าอีกครั้งในปี 2004 – 2005 ทุกครั้งที่มีการแข่งขันแดงเดือดผู้คนมักจะคับคั่งเต็มสนามอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าบ้านก็ตามแต่ ดั่งที่เซอร์อเล็กเคยพูดไว้ว่า “ไม่ได้แปลกอะไรนักที่คนเยอะขนาดนี้ เพราะพวกเขามาชมเกมระหว่างทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด” (ทีมฟุตบอลต่างประเทศระดับโลก คลิกที่นี่ http://kcsoccerpark.com/ทีมฟุตบอลต่างประเทศระด/)
ถ้าหากใครที่เป็นแฟนบอลของทั้งสองทีมมาอย่างยาวนาน คงตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าศึกแดงเดือด จะต้องเตรียมเชียร์อย่างดุเดือด ทั้งอยู่บ้าน หรือออกไปตามสถานบันเทิงที่ถ่ายถอดฟุตบอลคู่แดงเดือด แต่ก็อาจจะต้องมีการระมัดระวังกันบ้าง เพราะอาจจะเดือดตั้งแต่ในจอ ยันคนดูนอกจอเลยก็เป็นได้ ซึ่งแน่นอนว่าแดงเดือดก็ต้องมีอีกสิ่งที่แดงและเดือดเช่นกัน นั่นคือ “ใบแดง” มีหลายใบแดงนักที่เกิดขึ้นในการแข่งขันแดงเดือดที่ผ่านมา และส่งผลให้รูปเกมเดือดมากขึ้นไปอีก กับ 5 ใบแดงนี้เลย
ในเกมนี้ลิเวอร์พูลเป็นเจ้าบ้านโดยรอคอยการมาเยือนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นการเปิดบ้านแล้วพ่ายให้กับแมนยูในที่สุด ถึงแม้ว่าพอล สโคลล์จะโดนใบแดงออกไปจนผู้เล่นของทางปีศาจแดงเหลือเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น โดยเปิดบ้านแพ้แมนยูไปที่สกอร์ 0 – 1 โดยจังหวะที่เกิดใบแดงนัดนี้มาจากความเดือดที่แท้จริงเพราะว่า จังหวะเริ่มต้อน อลอนโซ่ ดึงสโคลล์จนล้มลงไป แต่เมื่อสโคลล์ลุกขึ้น เขาเหวี่ยงหมัดเฉี่ยวหน้าอลอนโซ่เพียงนิดเดียว ด้วยการตัดสินของผู้ตัดสิน และดูเจตนาแล้วทำให้พอล สโคลล์โดนใบแดงในช่วง 4 นาทีสุดท้ายของเกมในที่สุด
ครั้งนี้เป็นคราวของปีศาจแดงแมนยูที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของลิเวอร์พูล และถล่มเอาชนะไปได้อย่างสวยงามสมชื่อกับโรงละครแห่งความในยุคนั้น ด้วยสกอร์ที่ทิ้งห่างไปถึง 3 – 0 ในฤดูกาล 2007/2008 ครั้งนี้ผู้รับเคราะห์เองก็เป็นพอล สโคลล์เช่นเคย เนื่องจากตัวเขาถูกเสียบโดย มาสเคราโน่ และเป็นใบเหลืองใบแรก แต่หลังจากนั้นโดยเวลาห่างกันไม่นานนัก ก็ได้รับใบเหลืองใบที่สองจนกลายเป็นใบแดงทำให้ถูกไล่ออกจากสนาม เพราะมาสเคราโน่ ได้เข้าไปโต้เถียงกับ สตีฟ เบ็นเน็ตต์ ในกรณีการแจกใบเหลืองให้กับเฟร์นานโด ตอร์เรส จนสุดท้ายเขาเองก็ได้รับใบเหลืองใบที่สองและถูกไล่ออกจากเกมไป
เกมนี้เป็นศึกแดงเดือดอีกครั้งที่ฝ่ายลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และพ่ายไปในที่สุด ด้วยสกอร์ที่ไม่ถูกทิ้งห่างมากนักเป็นจำนวน 1 – 2 ประตู เป็นช่วงศึกพรีเมียร์ลีกแดงเดือด ในฤดูกาล 2012/2013 จังหวะใบแดงของจอนโจ เชลวี่ย์ ได้กระทำการเข้าบอลหนักใส่ จอนนี่ อีแวนส์ เกิดขึ้นในจังหวะที่ทั้งคู่เข้าปั๊มบอลกัน ทำให้ผู้ตัดสินตัดสินใจยกใบแดงให้กับทางผู้เล่นของลิเวอร์พูล อย่าง จอนโจ เชลวี่ย์ ออกจากสนามตั้งแต่ช่วงปลายครึ่งแรก
ในยุคฤดูกาลของ 2013/2014 ภายใต้การคุมทีมของ เดวิด มอยส์ ที่ถือว่าเป็นช่วงต่อจากเซอร์อเล็กที่คนหวังว่า แมนยูจะยังคงฟอร์มโหดเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย แฟนบอลปีศาจแดงต้องผิดหวังกันถ้วนหน้า เมื่อโอลด์แทรฟฟอร์ดต้องเปิดบ้านพ่ายให้กับลิเวอร์พูลถึง 3 – 0 โดยช่วงท้ายของเกมผู้เล่นแดนหลังตัวสำคัญอย่างเนมันย่า วิดิซ ได้รับใบเหลืองใบที่สอง จากเสียบเข้า สเตอร์ริดจ์ ในเขตโทษทำให้โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และทำให้ทีมโดนลงโทษเช่นกัน
ในข้อสุดท้ายของใบแดงแสนดราม่าเกมแดงเดือด คงไม่พ้นเกมไหนไปได้เลยนอกจากเกมที่ เจอร์ราร์ด โดนใบแดงในนัดอำลาตัวเขาโอง โดยสถิติการลงสนามของเขาถูกบันทึกไว้ว่า เขาได้ลงไปวิ่งในสนามเพียงแค่ 38 วินาทีเท่านั้น และถูกไล่ออกโดยใบแดงหลังจากที่ย่ำถูกขาของ อังเดร เอร์เรร่า กลายเป็นว่าผู้ตัดสินถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเกมนี้ และกลายเป็นเกมแดงเดือดสุดดราม่าของกัปตันเจอร์ราร์ด และแฟนบอลลิเวอร์พูลที่หวังจะได้ดูเขาเล่นแต่กลับได้ดูเพียงไม่ถึงนาทีเสียด้วยซ้ำ (นักฟุตบอลอาชีพที่น่าจับตามอง คลิกที่นี่ http://kcsoccerpark.com/นักฟุตบอลอาชีพที่น่าจั/)
ถ้าหากใครที่ทันดูบอลตั้งแต่ปี 2000 อาจจะมีศึกแดงเดือดที่มีดราม่ามากกว่านี้อยู่ในความทรงจำของคุณก็ได้ เพราะไม่ว่าจะนัดไหน ก็จะมีจุดเล็กๆ น้อยๆ ให้เกิดเหตุการณ์ความเดือดได้เสมอ เพียงแต่ไม่มีใบแดงเกิดขึ้นเสมือนกับเกมตัวอย่างที่ยกมาให้อ่านกันใน 5 ข้อด้านบนนี้ และเป็นที่แน่นอนว่าในอนาคตของเกมแดงเดือดเกมอื่น อาจจะมีดราม่าหนักกว่าที่ผ่านมา รอคอยให้เราได้รับชมอยู่อีกหลายนัดยิ่งนัก